มะเร็งลำไส้ ภัยเงียบที่ควรระวัง

    มะเร็งลำไส้ เป็นมะเร็งที่พบบ่อยในคนไทย อาจมีอาการที่แตกต่างไปตามระยะของโรคและความรุนแรงของมะเร็ง การตรวจรักษาและการวินิจฉัยมะเร็งลำไส้จะต้องใช้เทคนิคการแพทย์และการตรวจรักษาเพื่อรู้แนวทางการรักษาที่เหมาะสม หากคุณหรือคนที่คุณรู้จัก สงสัยเกี่ยวกับมะเร็งลำไส้ ควรพบแพทย์เพื่อการตรวจวินิจฉัยและรักษาให้เร็ว เนื่องจากการตรวจและรักษาในระยะแรกมักจะมีโอกาสรักษาสำเร็จมากกว่าในระยะที่โรคมะเร็งลำไส้ เป็นอยู่ในระยะขั้นปัจจุบันและรุนแรงมากขึ้น

   (Colorectal cancer) เป็นมะเร็งที่เกิดในลำไส้ใหญ่ (colon) หรือลำไส้เล็ก (rectum) และมีอาการที่แตกต่างไปตามระยะของโรค แต่มีบางอาการที่พบบ่อยได้แก่

   1. การเปลี่ยนแปลงในรอยถ่าย (อุจจาระ)
   – การอุจจาระเปลี่ยนแปลงรูปร่างหรือสี
   – การอุจจาระมีเลือดปนหรือมีเลือดออก

   2. ปวดท้อง
   – ปวดท้องค้างคาวหรือปวดท้องเติม

   3. การกลายเป็นสำลี
   – การเบิ้มสำลี (เป็นลักษณะบวมโดยเฉพาะในที่ลำไส้)
   – การปวดร้าวสำลี

   4. ความอ่อนเพลียหรือน้ำหนักลด
   – การลดน้ำหนักโดยไม่มีเหตุผลชัดเจน
   – ความอ่อนเพลียที่ไม่ธรรมดา

   5. อาการทางระบบย่อยอาหาร
   – อาการท้องเสียหรืออาเจียน
   – ไม่คลี่คลายในการกินหรืออาการหยุดกิน

   6. อาการที่เกี่ยวข้องกับระบบออกซิเจนในเลือด
   – อาการหายใจไม่สะดวกหรืออ่อนเพลีย
   – อาการวิงเวียนหรือซีด

   มะเร็งลำไส้ เกิดขึ้นเมื่อเซลล์ที่ปกติในลำไส้เริ่มเปลี่ยนแปลงและเติบโตอย่างไม่ปกติ. ปัจจัยหลายปัจจัยอาจมีบทบาทในการเริ่มเกิดมะเร็งลำไส้ แต่พฤติกรรมและปัจจัยเหล่านี้อาจมีบทบาทในการเพิ่มความเสี่ยง

   – การสืบทอดพันธุกรรม : ความเสี่ยงสูงขึ้นหากคุณมีประวัติครอบครัวที่มีคนเป็นมะเร็งลำไส้ หรือมะเร็งในอวัยวะอื่นที่เกี่ยวข้อง

   – อายุ : ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเมื่อคุณอายุเข้าสู่วัย 50 ปีขึ้นไป

   – การบริโภคอาหารที่ไม่เหมาะสม : การบริโภคอาหารที่มีไขมันและเนื้อสัตว์โดยเฉพาะการบริโภคน้ำตาลมากเกินไปการบริโภคอาหารประเภทโซดาและอาหารไม่เพียงพอในใยอาหารที่มีใยเสริม ทั้งนี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเซลล์ลำไส้

   – การบริโภคแอลกอฮอล์และสารเสพติด : การดื่มแอลกอฮอล์มากเป็นระยะเวลายาวนานและการสูบบุหรี่เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งลำไส้

   – โรคทางเดินอาหาร : บางครั้งมะเร็งลำไส้อาจเกิดขึ้นในคนที่มีโรคทางเดินอาหาร เช่น โพลิปอสห์ปัญหาต่างๆ

   – การตรวจสุขภาพทางเข้าระบบการรับรางและการประมวลผล : การบาดเจ็บหรือการบริโภคสารเคมีที่เป็นพิษสามารถเพิ่มความเสี่ยง

   – ประวัติมะเร็งก่อนหน้า : หากคุณเคยเป็นมะเร็งลำไส้มาก่อนคุณมีความเสี่ยงสูงขึ้นที่จะเป็นมะเร็งลำไส้อีกครั้ง

   – อัลซาเลน (Alkylatingagents) ในการรักษามะเร็ง : บางครั้งการใช้อัลซาเลนในการรักษามะเร็งอื่นๆ อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งลำไส้.

   – การควบคุมปัจจัยเหล่านี้ และการตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อค้นหาอาการมะเร็งลำไส้ในระยะเริ่มต้นจะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งลำไส้

   การรู้ว่าเป็นมะเร็งลำไส้ มักจะต้องผ่านกระบวนการวินิจฉัยจากแพทย์ โดยมีขั้นตอนหลายขั้นตอนกระบวนการนี้เพื่อระบุว่าคุณมีมะเร็งลำไส้หรือไม่ และหากมี ให้ระบุระดับความรุนแรงและแผนการรักษาที่เหมาะสม ดังนี้

   1. ประวัติแพทย์และการตรวจร่างกาย : แพทย์จะสอบถามเกี่ยวกับประวัติแพทย์ของคุณรวมถึงอาการที่คุณกำลังเจออยู่ และประวัติครอบครัวเกี่ยวกับโรคมะเร็ง และประวัติการรับประทานอาหาร และพฤติกรรมที่อาจเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้

   2. การตรวจร่างกาย : แพทย์อาจทำการตรวจร่างกายทั่วไป เพื่อตรวจหาความผิดปกติ รวมถึงการรักษาผิวหนังและตรวจรูปร่างของท้อง อาจมีการตรวจลำไส้ด้วยวิธีการในกรณีที่มีความสงสัย

   3. การตรวจทางชีวการและการตรวจรังสี : หลังจากประวัติแพทย์และการตรวจร่างกาย การตรวจรังสีเป็นขั้นตอนสำคัญในการวินิจฉัยมะเร็งลำไส้ ประเภทของการตรวจรังสี

   4. การฉีดสารก่อมะเร็ง (Contrast enema) : ซึ่งเป็นการฉีดสารที่สามารถมองเห็นบนรังสี-X เข้าไปในลำไส้เพื่อให้สังเกตความผิดปกติ

   5. การโรคลำไส้ (Colonoscopy) : หมอจะนำอุปกรณ์เจาะเข้าไปในลำไส้ของคุณเพื่อตรวจสอบระดับลึกของมะเร็งและสำหรับการตรวจสารเป็นตัวแต่ง

   6. การโรคทางระบบหายใจ (CT Scan) : ซึ่งอาจใช้ในการรู้จักขนาดของเนื้องอกและการกระจายของมะเร็ง

   7. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ : แพทย์อาจร้อยเอ็นไอ (biopsy) เนื้องอกในลำไส้เพื่อตรวจสอบเซลล์มะเร็งในห้องปฏิบัติการเพื่อการยืนยันการวินิจฉัย

   หากคุณมีอาการหรือคุณรู้สงสัยว่าเป็นมะเร็งลำไส้ ควรพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม การตรวจรักษามะเร็งลำไส้ในระยะต้นมีโอกาสรักษาสำเร็จมากกว่าในระยะที่โรคมะเร็งมีอาการรุนแรงมากขึ้น

   การรักษามะเร็งลำไส้ ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของโรคและสภาพร่างกายของผู้ป่วย โดยปกติแล้วมีวิธีการรักษามะเร็งลำไส้ที่ใช้บ่อยคือ

   – การผ่าตัด : การผ่าตัดเป็นวิธีการรักษาที่พบบ่อยสำหรับมะเร็งลำไส้ แพทย์จะตัดออกเนื้องอกและบางกรณีอาจต้องตัดออกส่วนของลำไส้ที่มีมะเร็งด้วย หลังผ่าตัด เครื่องช่วยหายใจเร็วและการฟื้นฟูจากผ่าตัดจะเป็นสิ่งสำคัญ

   – การรักษาด้วยรังสี : การรักษาด้วยรังสีอาจใช้ในบางกรณี เพื่อลดขนาดเนื้องอกก่อนการผ่าตัดหรือหลังการผ่าตัด หรือในกรณีที่มะเร็งมีการกระจายไปยังเนื้อต่างๆ ในร่างกาย

   – การรักษาด้วยเคมีบำบัด : การใช้ยาต้านมะเร็งเพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง การรักษาด้วยเคมีบำบัดสามารถใช้ร่วมกับการผ่าตัดหรือรังสี หรือใช้ในกรณีที่มะเร็งมีการกระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ ในร่างกาย

   – การใช้ยาที่เป็นตัวแต่ง : บางครั้งการใช้ยาที่เป็นตัวแต่งสามารถช่วยให้การรักษามีผลดีขึ้น ยาตัวแต่งมักเน้นเซลล์มะเร็งโดยเฉพาะและลดผลข้างเคียงต่อเซลล์ปกติ การรักษาด้วยยาคุมระบบภูมิคุ้มกัน (Immunotherapy) : ยาคุมระบบภูมิคุ้มกันสามารถใช้ในบางกรณีเพื่อเสริมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายในการต่อสู้กับมะเร็ง

   – การบำบัดระยะปลอดภัย : ในกรณีที่มะเร็งมีการกระจายและไม่สามารถรักษาหายได้สมบูรณ์ การบำบัดระยะปลอดภัยสามารถช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและลดอาการเจ็บปวดและความไม่สบาย

   – การตรวจสอบครอบครัว : ถ้ามีประวัติครอบครัวที่มีคนเป็นมะเร็งลำไส้ การปรึกษาเรื่องพันธุกรรมอาจมีความสำคัญ เพื่อปรับปรุงการตรวจสุขภาพประจำปีและการควบคุมความเสี่ยง

   ควรรับการรักษาและปรึกษาจากแพทย์ที่เชี่ยวชาญในโรคมะเร็งลำไส้ เนื่องจากแต่ละบุคคลและแต่ละสถานการณ์มีความแตกต่าง แพทย์จะสามารถแนะนำรูปแบบการรักษาที่เหมาะสมสำหรับคุณบุคคล

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *